สรุป แนวความคิดหลักของ engineering and Technology ตาม NGSS
เราใช้คำว่า engineering ในความหมายที่กว้าง เพื่อหมายถึงการออกแบบหรือการทำงานอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้มาซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาของมนุษย์ ในทำนองเดียวกันเราก็ใช้คำว่า technology ในความหมายกว้างเช่นกัน โดยหมายถึงทุกระบบหรือกระบวนการที่มนุษย์สร้างขึ้นมาซึ่งไม่ได้จำกัดเพียงแนวความคิดที่มักใช้กันคือมักหมายถึงเพียงเทคโนโลยีเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่เท่านั้น เทคโนโลยีเกิดขึ้นเมื่อวิศวกรใช้ความรู้ความเข้าใจทางธรรมชาติหรือวิทยาศาสตร์และความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์มาประยุกต์ใช้ในการสนองความต้องการ (wants) หรือความจำเป็น (needs) (Ref: NRC 2001)
อย่างไรก็ตามวิศวกรรมไม่ใช่เป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ถึงแม้ว่าการปฏิบัติทางวิศวกรรม (Engineering practice) จะคล้ายกับกระบวนการปฏิบัติของวิทยาศาสตร์ (scientific practice) วิศวกรรมเป็นสาขาที่มีลักษณะเฉพาะและมีแนวคิดบางอย่างที่อาจแตกต่างจากวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง
แนวความคิดหลักของวิศวกรรมใน NGSS คืออะไร
Core idea 1: Engineering design
เป็นกระบวนการทำงานแบบ interactive cycle ที่ช่วยให้สามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในชั้นเรียนเพื่อนำมาซึ่งการปฏิบัติทางวิศวกรรม ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญของแนวคิดทางวิศกรรมนั้นคือ ความเข้าใจว่าปัญหาทางวิศวกรรเกิดขึ้นได้อย่างไรและจะมีวิธีการแก้อย่างไร (how problems are defined and delimited) ความเข้าใจว่าการจำลอง (modeling solution) ช่วยให้เราสามารถนำมาซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาได้อย่างไร และความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการที่จะนำมาซึ่งการพัฒนาแนวทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด (optimization)
Core idea 2A: interdependence of science, engineering, and technology
ทั้งวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมต่างก็สนับสนุนซึ่งกันและกัน เทคโนโลยีใหม่ๆ ช่วยให้เราสามารถค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ได้มากขึ้น ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ต้องขึ้นกับงานของวิศวกรเพื่อสร้างเครื่องมือทดลองหรือคำนวณในงานวิจัยต่างๆ ในขณะที่วิศวกรเองก็ต้องอาศัยผลงานการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์เพื่อให้เข้าใจว่าเทคโนโลยีต่างๆ นั้นมีการทำงานแตกต่างกันอย่างไรเพื่อให้สามารถพัฒนาต่อยอดไปได้ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์นำมาซึ่งการเกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรบ่อยครั้งที่ต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยเฉพาะในสาขาใหม่ๆ เช่น นาโนเทคโนโลยี ชีวิทยาสังเคราะห์ (NRC 2011)
Core idea 2B: Influence of Engineering, Technology and Science on Society and the Natural world
การประยุกต์ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่รวมถึงด้านการแพทย์ การเกษตร ได้นำมาซึ่งการเทคโนโลยีและระบบที่ช่วยในการตอบสนองมนุษย์ในปัจจุบัน ในทางตรงกันข้าม สังคมเองก็อิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม การตัดสินใจทางสังคมซึ่งอาจเป็นผลมาจากความหลากหลายทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม นำมาซึ่งการเกิดเป้าหมายและลำดับความสำคัญของการพัฒนาหรือสร้างเทคโนโลยีทดแทน นอกจากนี้การตัดสินใจดังกล่าวยังส่งผลถึงการจำกัดหรือควบคุมการใช้วัสดุใหม่หรือในเรื่องการอนุญาตในการปล่อยมลพิษจากงานอุตสาหกรรม
อ้างอิง: Core Ideas of Engineering and Technology: Understanding A Framework for K-12 Science Education, by Cary Sneider, 2012
This blog is about teachning and learning science, design and technology. Interesting articles from a wide rage of sources are summarized. My ideas and interests are also posted. Hopefully you could get some ideas from what I've reported in this blog.
Thursday, September 19, 2013
Sunday, August 18, 2013
กิจกรรมรถพลังงานลมจากลูกโป่ง มหกรรมวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
กิจกรรมรถแข่งมหาสนุก จัดขึ้น ณ มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 2556 ที่ ไบเทค บางนา วันก่อนได้รับการตอบรับจากเด็กๆ และผู้ปกครองเป็นอย่างดี ดูภาพบรรยายกาศได้จากวิดีโอนี้ครับ
กิจกรรมนี้นักเรียนได้เรียนรู้เรื่องของเทคโนโลยีและวิศวกรรม คือ ได้เรียนรู้การใช้วัสดุและเครื่องมือในการออกแบบและสร้างสรรค์ผลงาน และยังได้เรียนรู้เรื่องของวิทยาศาสตร์เรื่องพลังงาน แรงและการเคลื่อนที่ แม้จะเป็นกิจกรรมที่จะดูง่ายๆ แต่ถ้าได้ลองปฏฺิบัติแล้วจะพบว่าผู้เรียนต้องคิดวางแผนเพื่อสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้มีประสิทธิภาพคือวิ่งได้เร็ว ตรง และไกล ดังนั้นเด็กๆ จึงได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการปฏิบัติกิจกรรมนี้ ต้องบอกว่าขอแนะนำให้นำไปทดลองเล่นที่โรงเรียนดูนะครับผม....
Saturday, June 1, 2013
ห้องเรียนพิเศษวิทย์
วันที่ 1 มิถุนายน 2556 มีโอกาสได้รับเชิญให้สอนนักเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ ตามแนวทาง สสวท. โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ระดับชั้น ม. 1 โดยสอนเรื่อง Simple Pendulum
เริ่มการสอนด้วยการเปินำภาพนาฬิกาลูกตุ้มและวีดิโอแสดงการทำงานของลุกตุ้ม แล้วจึงนำเข้าสู่การทดลองเพือศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการแกว่งของลูกตุ้ม โดยทดลองสองตอนคือ มวลและความยาวเส้นเชือก
จากการทดลองของนักเรียนทำให้ได้แง่คิดเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอนหลายอย่าง เช่น สังเกตได้ว่านักเรียนไม่รู้จักการเขียนเลขทศนิยม การอ่านค่าเวลาจากนาฬิกาจับเวลา การอ่านโจทย์จากใบความรู้ ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ปรากฏว่านักเรียนทำไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นนักเรียนห้องเก่ง
ประเด็นสำคัญอันหนึ่งที่พบคือการมีความคิดเดิมที่คงทน (persistent preconception) เช่น การคาดเดาว่ามวลจะมีผลต่อคาบเวลาการแกว่งของลูกตุ้ม ซึ่งแม้จะทำการทดลองแล้วแต่ก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ทดลอง บางคนมีการปรับค่าข้อมูลที่ได้จากการทดลองมาเป็นค่าที่ตัวเองคิดหรือคาดเดา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
การจับเวลาของนักเรียนปัจจุบันทำได้ง่ายด้วยการใช้ smartphone มาเป็นเครื่องมือช่วยซึ่งวัดได้ละเอียดหลายตำแหน่งอีกด้วย นี่คือข้อดีของเทคโนโลยีนั้นเอง
เริ่มการสอนด้วยการเปินำภาพนาฬิกาลูกตุ้มและวีดิโอแสดงการทำงานของลุกตุ้ม แล้วจึงนำเข้าสู่การทดลองเพือศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการแกว่งของลูกตุ้ม โดยทดลองสองตอนคือ มวลและความยาวเส้นเชือก
จากการทดลองของนักเรียนทำให้ได้แง่คิดเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอนหลายอย่าง เช่น สังเกตได้ว่านักเรียนไม่รู้จักการเขียนเลขทศนิยม การอ่านค่าเวลาจากนาฬิกาจับเวลา การอ่านโจทย์จากใบความรู้ ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ปรากฏว่านักเรียนทำไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นนักเรียนห้องเก่ง
ประเด็นสำคัญอันหนึ่งที่พบคือการมีความคิดเดิมที่คงทน (persistent preconception) เช่น การคาดเดาว่ามวลจะมีผลต่อคาบเวลาการแกว่งของลูกตุ้ม ซึ่งแม้จะทำการทดลองแล้วแต่ก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ทดลอง บางคนมีการปรับค่าข้อมูลที่ได้จากการทดลองมาเป็นค่าที่ตัวเองคิดหรือคาดเดา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
การจับเวลาของนักเรียนปัจจุบันทำได้ง่ายด้วยการใช้ smartphone มาเป็นเครื่องมือช่วยซึ่งวัดได้ละเอียดหลายตำแหน่งอีกด้วย นี่คือข้อดีของเทคโนโลยีนั้นเอง
Monday, May 27, 2013
NSTA's STEM Forum and Expo 2013
งานประชุมนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมประจำปีของสมาคมครูวิทยาศาสตร์ของอเมริกา (National Science Teachers Association: NSTA) โดยภายในงานจะมีกิจกรรมการบรรยายทางวิชาการ การจัด workshop นิทรรศกาล งานการออกร้านของบริษัทผู้ผลิตสื่อการเรียนการสอนด้าน STEM ซึ่งมีคนร่วมงานกว่าพันคน โดยประเทศไทยเอง มีคนร่วมงานจำนวน 7 ท่าน จาก สสวท.
การร่วมงานครั้งนี้ทำให้ได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับนโยบายและแนวทางการจัดการศึกษาแบบบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ หรือที่เรียกว่า STEM Education ซึ่งจากการเข้าร่วมฟังการบรรยายและการร่วม workshop ทำให้ได้ประเด็นสำคัญของการจัดการศึกษาแบบสะเต็มดังนี้
ด้านการจัดหลักสูตร
- มาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (NGSS) ใหม่ของอเมริกามีการเพิ่มแนวคิดของเทคโนโลยีและวิศวกรรมเข้าไป
- ความาเข้าใจของคครูหรือผู้ปฏิบัติต่อแนวคิดของเทคโนโลยีและวิศวกรรมยังมีน้อย ยังคงต้องการได้รับการพัฒนาและเรียนรู้อีกมาก
- มาตรฐาน NGSS เป็นเพียงกรอบแนวทางการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์กว้างๆ เท่านั้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้หรือหลักสูตรการเรียนรู้จะเป็นแกนหลักที่จะทำให้บรรลุผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ซึ่งสามารถจัดได้อย่างอิสระ แต่จะต้องให้ครอบคลุ่ม Standards
ด้านการเรียนการสอนและประเมินผล
- กิจกรรมการเรียนรู้สะเต็มจะต้องสอดคล้องกับ standards เพื่อไม่ให้เป็นภาระเพิ่ม และสามารถนำไปผนวกเข้ากับกิจกรรมการเรียนรู้ในชั้นเรียนเดิมได้
- หลักสูตรการเรียนรู้ Engineering and Technology อาจไม่มีความจำเป็นมากนักในการจัดเป็นวิชาเฉพาะด้าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่โรงเรียนที่อาจจะมีวิชาเฉพาะด้านนี้ได้ ส่วนโรงเรียนทั่วๆ ไปอาจจะผนวกแนวคิดของเทคโนโลยีและวิศวกรรมเข้าไปด้วยกันกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์เดิมได้เลย
- แนวทางในการวัดและประเมินยังคงต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับ standard ต่อไป ซึ่งยังไม่ได้มีสิ่งนี้เกิดขึ้น และกระบวนการวัดผลควรมองที่ระดับปฏิบัติการในชั้นเรียนให้มากขึ้นด้วย
ด้านการพัฒนาครู
- การสร้างความเข้าใจให้สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้นั้นจะต้องมีการจัดอบรมโดยตรงด้วย ไม่ควรมีแต่การเขียนเอกสารเผยแพร่เท่านั้น เพราะบางประเด็นจำเป็นต้องได้รับการอธิบายและการลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่แท้จริง
- ในอเมริกา พบว่าการสร้างความเข้าใจกับครูเพื่อให้สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นคงยังต้องมีการพัฒนาต่อไปโดยคาดว่าประมาณ 5-6 ปี จึงจะสามารถสร้างความเข้าใจได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ด้านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ
- การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้และการนำไปสู่การปฏิบัติในชั้นเรียนได้ดีนั้นจะต้องเกิดจากการร่วมมือกันจากหลายภาคส่วน ทั้งชุมชน มหาวิทยาลัย หน่วงงานของรัฐ เอกชน ผู้ปกครอง หรือผู้บริหารในโรงเรียน
- การได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนมีความสำคัญต่อการพัฒนาการเรียนการสอนสะเต็ม เช่น การเป็นผู้ให้ความรู้เฉพาะด้านด้วยประสบการณ์ทำงานจริงในภาคอุตสาหกรรมจะช่วยให้นักเรียนได้เห็นภาพของอาชีพมากขึ้น
- การได้รับการสนับสนุนจากชุมชนและผู้ปกคครองมีความสำคัญต่อการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้สะเต็ม โดยจะต้องมีการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการจัดการเรียนรู้ ความสำคัญของการเรียนแบบสะเต็มและสิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาเพื่อการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21
- การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ โดยให้มหาวิทยาลัยทำวิจัยร่วมกับโรงเรียนต้นแบบทั้งในระดับประถมและมัธยมเพื่อศึกษาแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม ก่อนการนำไปสู่การขยายผล ซึ่งพบว่าแนวทางของ Illinois University ร่วมกับโรงเรียน Washington Academy เป็นตัวอย่างของการทำวิจัยเชิงความร่วมมือที่ดีมาก
- การได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารของโรงเรียนมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และการได้รับทุนสนับสนุนเพื่อพัฒนาอุปกรณ์การเรียนรู้
ด้านการสร้างโรงเรียน STEM
- โรงเรียนสะเต็มมีทั้งที่เป็น Selective STEM Schools หรือโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนสายวิทยาศาสตร์แบบเข้มข้นทั้งในด้านเนื้อหาและกระบวนการจัดการเรียนการสอน มีอัตราการสอบแข่งขันสูง ส่วน Inclusive STEM High schools จะเป็นโรงเรียนที่มุ่งเน้นงานอาชีพด้าน STEM ที่ผนวกเอางานอาชีพ งานช่าง วิศวกรรม ซึ่งคล้ายกับโรงเรียนอาชีวะ
- โรงเรียนสะเต็มจะประสบผลสำเร็จได้จะต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งในระดับโรงเรียน ชุมชน ผู้ปกครอง ภาครัฐและเอกชน
- การบริหารโรงเรียนเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มจะต้องมีการจัดอบรมและพัฒนาครูเพื่อสร้างความเข้าใจที่แท้จริงของการเรียนรู้สะเต็ม
- ผู้บริหารโรงเรียนต้องให้การสนับสนุนและร่วมการอบรมเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนรู้สะเต็ม
- การสร้างความเข้าใจกับผู้ปกครองเกี่ยวกับความสำคัญของแนวทางการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและไว้วางใจในการพัฒนาการเรียนการสอนของโรงเรียน
- โรงเรียนต้องมีการวางแผนหลักสูตรที่เหมาะสมตามระดับผู้เรียน มีการบูรณาการระหว่างศาสตร์ต่างๆ ใน สะเต็มรวมถึงการบูรณาการกับด้านภาษา และสังคม
Thursday, May 23, 2013
สะเต็มศึกษา STEM Education
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปสังเกตการเรียนการสอน STEM ร่วมกับ Prof Edward Reeve, Utah State Univ, USA ณ ห้องเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา โรงเรียนอนุบาลชลบุรี ของคุณครูอเมริกันคนหนึ่งชื่อ Teacher Becky ซึ่งเป็นคุณครูชาวต่างชาติที่มีน่ายกย่องและสนับสนุนมากๆ การจัดการเรียนการของเธอนั้นมุ่งเน้นการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ ทั้ง วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิศวกรรม และเทคโนโลยีเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว มีการทำการทดลองอย่างเป็นขั้นตอน กิจกรรมการทดลองก็เป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคย เรียนรู้ได้อย่างสนุก นอกจากนี้เธอยังมีเทคนิกการจัดการชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี เช่น การให้ผู้เรียนได้สวมหมวกนักคิดก่อนการถามคำถาม การใช้เทคนิค Braingym เป็นต้น
กิจกรรมที่เธอใช้ในการจัดการเรียนการสอนในชั่วโมงนั้นคือเรื่องของสมดุลและโครงสร้าง กระบวนการเรียนการสอนครั้งนี้คือการนำเข้าสู่บทเรียนด้วยการใช้ภาพโดมที่มีโครงสร้างสามเหลี่ยมต่อกันเป็นโครงสร้างโดม ให้ผู้เรียนได้เห็นภาพและสังเกตุว่าทำไมต้องเป็นสามเหลี่ยม ต่อด้วยการให้ความรู้เรื่องรูปสามเหลี่ยมประกอบไปด้วยอะไรบ้าง รวมถึงการให้คำศัพท์ทั้งไทยและอังกฤษ จากนั้นให้นักเรียนนำไข่มาทำการทดลองบีบด้วยมือเปล่าแล้วสังเกตว่าไข่แตกหรือไม่ จะทำให้ทราบว่าไข่มีความแข็งแรงพอ จากนั้นจึงให้นักเรียนปอกไข่โดยแกะส่วนด้านแหลมออกเพื่อนำไปวางบนพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีขนาดกว้างยาวพอประมาณ ให้สามารถนำสมุดมาวางซ้อนทับได้ โดยครูอาจบอกขนาดความกว้างยาวและให้สายวัดกับนักเรียนในการทำกรอบรูปสี่เหลี่ยมให้มีขนาดตามต้องการ จากนั้นจึงให้นักเรียนได้นำเอากองสมุดไปชั้งน้ำหนักและนำมาวางซ้อนทับกองเปลือกไข่ ซึ่งตอนนี้อาจให้นักเรียนได้แข่งขันกันว่าใครจะรองรับน้ำหนักได้มากที่สุด
จากกิจกรรมนี้เราสามารถสรุปความเชี่อมโยง STEM ได้ว่า
S เป้นเรื่องของสมดุลและแรง
T เป็นการใช้เทคโนโลยีต่างๆระหว่างการเรียน เช่น เครื่องวัด เครื่องชั่ง
E เป็นกระบวนการของการออกแบบในการวางไข่เพื่อให้มีโครงสร้างรับน้ำหนักได้มากที่สุด
M เป็นการเรียนรู้เรื่องรูปร่าง และการใช้ทักษะการวัด ทั้งหมดนี้ถือได้ว่าเป็นต้วอย่างที่ดีมากๆ ของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในเรื่อง STEM Education จึงเชิญชวนทุกท่านร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคครู Becky ได้นะครับ
กิจกรรมที่เธอใช้ในการจัดการเรียนการสอนในชั่วโมงนั้นคือเรื่องของสมดุลและโครงสร้าง กระบวนการเรียนการสอนครั้งนี้คือการนำเข้าสู่บทเรียนด้วยการใช้ภาพโดมที่มีโครงสร้างสามเหลี่ยมต่อกันเป็นโครงสร้างโดม ให้ผู้เรียนได้เห็นภาพและสังเกตุว่าทำไมต้องเป็นสามเหลี่ยม ต่อด้วยการให้ความรู้เรื่องรูปสามเหลี่ยมประกอบไปด้วยอะไรบ้าง รวมถึงการให้คำศัพท์ทั้งไทยและอังกฤษ จากนั้นให้นักเรียนนำไข่มาทำการทดลองบีบด้วยมือเปล่าแล้วสังเกตว่าไข่แตกหรือไม่ จะทำให้ทราบว่าไข่มีความแข็งแรงพอ จากนั้นจึงให้นักเรียนปอกไข่โดยแกะส่วนด้านแหลมออกเพื่อนำไปวางบนพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีขนาดกว้างยาวพอประมาณ ให้สามารถนำสมุดมาวางซ้อนทับได้ โดยครูอาจบอกขนาดความกว้างยาวและให้สายวัดกับนักเรียนในการทำกรอบรูปสี่เหลี่ยมให้มีขนาดตามต้องการ จากนั้นจึงให้นักเรียนได้นำเอากองสมุดไปชั้งน้ำหนักและนำมาวางซ้อนทับกองเปลือกไข่ ซึ่งตอนนี้อาจให้นักเรียนได้แข่งขันกันว่าใครจะรองรับน้ำหนักได้มากที่สุด
จากกิจกรรมนี้เราสามารถสรุปความเชี่อมโยง STEM ได้ว่า
S เป้นเรื่องของสมดุลและแรง
T เป็นการใช้เทคโนโลยีต่างๆระหว่างการเรียน เช่น เครื่องวัด เครื่องชั่ง
E เป็นกระบวนการของการออกแบบในการวางไข่เพื่อให้มีโครงสร้างรับน้ำหนักได้มากที่สุด
M เป็นการเรียนรู้เรื่องรูปร่าง และการใช้ทักษะการวัด ทั้งหมดนี้ถือได้ว่าเป็นต้วอย่างที่ดีมากๆ ของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในเรื่อง STEM Education จึงเชิญชวนทุกท่านร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคครู Becky ได้นะครับ
Wednesday, May 8, 2013
Friday, March 15, 2013
สอนความคิดสร้างสรรค์อย่างไร
ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญและมีการพูดถึงกันมาก โดยเฉพาะเมื่อปรากฏเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 แต่เชื่อว่าหลายคนคงเกิดข้อสงสัยว่า รู้ว่ามันสำคัญ แต่จะสอนอย่างไร วันนี้ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของ สสวท ที่น่าสนใจเลยปิ้งไอเดียขึ้นมาทันทีว่า อ่อ...นี่แหละเทคนิคง่ายๆ ที่จะทำให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ ว่าแล้วก็มาดูกันเลยครับ
ความคิดสร้างสรรค์ที่เรามักพูดกันมี 4 ลักษณะ ตามแนวคิดของ Gilford คือ คิดริเริ่ม คิดคล่อง คิดยืนหยุ่น และคิดละเอียดละออ ซึงชื่อก็ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่าแต่ละตัวหมายถึงอะไร
เทคนิคที่ผมนำเสนอในการสร้างให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์คือการใช้โจทย์ปัญหาท้าทายความคิด ซึ่งเป้นดังรุป
จากรูป มีโจทย์ว่า มีกล่องทึบอันหนึ่งที่มีช่องเติมน้ำด้านบน ในขณะที่เติมน้ำลงไปในกล่องจะทำให้เชือกที่ผูกติดกับก้อนวัตถุด้านข้างถูกดึงขึ้นไป ถามว่ากลไกข้างในกล่องน่าจะมีลักษณะอย่างไร
เห็นโจทย์แค่นี้ก้น่าจะทำให้หลายคนเริ่มเห็นภาพแล้วว่า โจทย์นี้ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร ซึ่งแน่นอนว่านักเรียนต้องคิดสร้างสรรค์ลักษะของกลไกข้างใน และกลไกอาจเป็นไปได้หลายแบบ ต่างคนก็อาจได้รูปแบบที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้ถ้าต้องการเน้นเรื่องของความคิดคล่อง เรายังสามารถกำหนดกรอบปัญหาให้ชัดขึ้นคือ กำหนดเวลาที่จำกัดและให้นักเรียนคิดรุปแบบออกมาให้ได้มากที่สุด
ทั้งหมดนี้สามารถนำมาเป็นกิจกรรมย่อยๆ ในชั้นเรียนเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์อันจะนำไปสุ่การคิดผลงานใหม่ๆ เพื่อโลกเราที่น่าอยู่ได้เป้นอย่างดีนะคร้าบบบบ
สำหรับท่านใดที่มีข้อแนะนำหรือแนวคิดดีๆ ก้นำมาบอกเล่า แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้นะครับ
ผู้เขียนขอบคุณ หนังสือ สอนให้คิด โดย พงษ์เทพ บุณศรีโรจน์
ความคิดสร้างสรรค์ที่เรามักพูดกันมี 4 ลักษณะ ตามแนวคิดของ Gilford คือ คิดริเริ่ม คิดคล่อง คิดยืนหยุ่น และคิดละเอียดละออ ซึงชื่อก็ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่าแต่ละตัวหมายถึงอะไร
เทคนิคที่ผมนำเสนอในการสร้างให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์คือการใช้โจทย์ปัญหาท้าทายความคิด ซึ่งเป้นดังรุป
จากรูป มีโจทย์ว่า มีกล่องทึบอันหนึ่งที่มีช่องเติมน้ำด้านบน ในขณะที่เติมน้ำลงไปในกล่องจะทำให้เชือกที่ผูกติดกับก้อนวัตถุด้านข้างถูกดึงขึ้นไป ถามว่ากลไกข้างในกล่องน่าจะมีลักษณะอย่างไร
เห็นโจทย์แค่นี้ก้น่าจะทำให้หลายคนเริ่มเห็นภาพแล้วว่า โจทย์นี้ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร ซึ่งแน่นอนว่านักเรียนต้องคิดสร้างสรรค์ลักษะของกลไกข้างใน และกลไกอาจเป็นไปได้หลายแบบ ต่างคนก็อาจได้รูปแบบที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้ถ้าต้องการเน้นเรื่องของความคิดคล่อง เรายังสามารถกำหนดกรอบปัญหาให้ชัดขึ้นคือ กำหนดเวลาที่จำกัดและให้นักเรียนคิดรุปแบบออกมาให้ได้มากที่สุด
ทั้งหมดนี้สามารถนำมาเป็นกิจกรรมย่อยๆ ในชั้นเรียนเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์อันจะนำไปสุ่การคิดผลงานใหม่ๆ เพื่อโลกเราที่น่าอยู่ได้เป้นอย่างดีนะคร้าบบบบ
สำหรับท่านใดที่มีข้อแนะนำหรือแนวคิดดีๆ ก้นำมาบอกเล่า แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้นะครับ
ผู้เขียนขอบคุณ หนังสือ สอนให้คิด โดย พงษ์เทพ บุณศรีโรจน์
Sunday, January 6, 2013
ห้องเรียนพิเศษวิทย์ คณิต เทคโน มัธยมศึกษา


Subscribe to:
Posts (Atom)